เนื่องจากมีผู้สนใจสอบถามวิธีการคิดอัตราการลาออกมาอย่างต่อเนื่อง ผมจึงทำเป็นสูตรการคิดมาให้ดังภาพด้านล่าง
วันพุธที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2560
สูตรการคำนวณอัตราการออกของพนักงาน (Turnover Rate Calculation)
สูตรการคำนวณอัตราการออกของพนักงาน (Turnover Rate Calculation)
เนื่องจากมีผู้สนใจสอบถามวิธีการคิดอัตราการลาออกมาอย่างต่อเนื่อง ผมจึงทำเป็นสูตรการคิดมาให้ดังภาพด้านล่าง
เนื่องจากมีผู้สนใจสอบถามวิธีการคิดอัตราการลาออกมาอย่างต่อเนื่อง ผมจึงทำเป็นสูตรการคิดมาให้ดังภาพด้านล่าง
วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2553
อนาคตงาน HR ในยุค Cloud Computing
HR ท่านใดที่สนใจด้าน IT อยู่แล้วคงพอทราบกันดีว่า Cloud Computing คืออะไร และน่าจะมีผลกระทบอย่างไรกับทุกคนในอนาคตอันใกล้นี้ แต่ผมเชื่อแน่ว่ามีอีกหลายท่านยังไม่ทราบว่า Cloud Computing มันคืออะไรและจะมีบทบาทอย่างไรกับชีวิตเรา ผมก้ขอถือโอกาสนี้เสาะหาข้อมูลเอามาฝากกัน และขอกล่าวถึงผลกระทบของ Cloud Computing ในบริบทของ HR เพื่อจะได้จำกัดกรอบให้ HR ทุกคนสัมผัสได้และรู้ว่ามันอยู่ไม่ไกลตัว จะไม่ขอก้าวล่วงไปถึงขึ้น Technical ทางด้าน IT อย่างลึกซึ้ง
เกริ่นนำ
ผมคิดว่าทุกคนคงมีประสบการณ์ในการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เหมือนๆ กับตัวผม คือมีคนบอกว่า "ทันทีที่เราซื้อเครื่องออกจากร้านมันก็ล้าสมัยทันที" เพราะเทคโนโลยีด้าน IT มีการพัฒนาไปเร็วมากและมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทุกท่านคงเบื่อหน่ายกับการที่ฮาร์ดแวร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่เผลอแผลบเดียวมันก็เก่าซะแล้ว อย่าง CPU Speed ที่สุดยอดๆ เคยซื้อเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา 2.1 GHz ซื้อออกจากร้านประมาณ 2 หมื่นบาทก็หรูสุดๆ แล้ว ผ่านไปแต่ปีสองปีมันก็กลายเป็นเครื่องที่ดูจะล้าหลังไปหน่อยซะแล้ว ไหนจะฮาร์ดดิสก์อีกตอนซื้อกะว่าใช้ 500 GB เหลือๆ แต่พอใช้จริง ปีที่สองก็ชักจะใกล้เต็มแล้ว ส่วนทางด้านซอฟท์แวร์เองก็มีปัญหามากพอกันตั้งแต่ Version ของระบบปฏิบัติการอย่าง Windows ที่พัฒนาตัวใหม่ๆ ออกมาได้ทุกปี แถวค่า License ก็แพงพอๆ กับที่จะซื้อเครื่องใหม่ได้เลย แล้วถ้าใครอยากจะซื้อซอฟท์แวร์ตัวใหม่ๆ มาใช้ชั่วคราวแบบเฉพาะกิจ เช่น คนที่เรียน ป.โท อยากใช้ SPSS หรือ MATLAB ก็จะต้องไปเดินหาซื้อแผ่น แล้วก็ต้องมาดูว่าจะต้องใช้พื้นที่ Hard Disk ขนาดไหนถึงจะพอ แถมต้องดูด้วยว่า Spec เครื่องเราจะรองรับไหม
ด้วยปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ จึงมีคนคิดขึ้นมาว่าถ้าหากเราขายระบบอะไรสักอย่างที่ขอให้คนที่จะเข้ามาใช้มีเครื่องหรืออุปกรณ์ที่ Login หรือเชื่อมต่อกับ Internet ได้โดยไม่จำเป็นต้องมี Spec เครื่องหรูๆ ขอแค่ให้มี Internet Explorer แล้ว login เข้าระบบแล้วไปเลือกได้ว่า วันนี้ฉันอยากใช้เครื่องช่วยคำนวณข้อมูลรายได้พนักงานที่มีอยู่ 2,500 คนแบบย้อนหลัง 10 ปี อยากขอให้ระบบจัดการข้อมูลให้ด้วย เมื่อขอระบบเสร็จระบบก็จะไปค้นหาดูว่าไอ้เครื่องที่มีอยู่ในเครือข่ายของระบบที่ให้บริการอยู่มีกี่เครื่องที่ว่างๆ อยู่ จากนั้นมันก็จะกระจายการคำนวณข้อมูลออกไปให้เครื่องต่างๆ ในเครือข่าย ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ไหนบ้างในโลก จากนั้นพอคำนวณเสร็จก็จะส่งผลลัพธ์กลับมาให้ ส่วนใครที่อยากใช้โปรแกรม Office ต่างๆ ก็ไปคลิกเลือกเลยว่าจะขอใช้บริการโปรแกรมอะไรบ้าง โดยที่ไม่ต้องลงโปรแกรมที่เครื่องเราเลย การทำงานทั้งหมดทำบนบราวเซอร์ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราก็จะตัดปัญหาเรื่องของ Spec เครื่องหรือซอฟท์แวร์ไปได้
สิ่งที่ผมอธิบายมาข้างต้นนั่นละครับคือภาพของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในโลกการทำงานที่เรียกว่า Cloud Computing
Cloud Comuting คืออะไร
มีคนให้ความหมายของ Cloud Computing ไว้หลากหลายครับ เช่น
เริ่มจากที่ Wikipedia ซึ่งมักจะมีคนอ้างอิงถึง บอกว่า “Cloud Computing อ้างถึงทรัพยากรสำหรับการคำนวณผลที่ถูกเข้าถึง ซึ่งโดยทั่วไปถูกเป็นเจ้าของและถูกดำเนินการโดยผู้ให้บริการบุคคลที่ 3 (third-party provider) ซึ่งได้รวบรวมพื้นฐานที่จำเป็นทั่วไปเข้าไว้ด้วยกันในตำแหน่งที่ตั้งของศูนย์คอมพิวเตอร์ (Data Center) โดยผู้บริโภคบริการ cloud computing เสียค่าใช้จ่ายเพื่อความสามารถการคำนวณหรือการประมวลผลตามที่ต้องการ และไม่จำเป็นต้องรู้หรือเข้าใจในเทคโนโลยีที่สำคัญซึ่งซ่อนอยู่ อันที่ถูกใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องแม่ข่าย (server) อย่างไรก็ตามมีตัวเลือกสำหรับผู้พัฒนาที่ต้องรู้และต้องคำนึงถึงในเทคโนโลยีสำคัญซึ่งซ่อนอยู่ในส่วนของการบริการแพล็ตฟอร์ม (platform services)”
คุณ JavaBoom บอกว่า Cloud Computing คือวิธีการประมวลผลที่อิงกับความต้องการของผู้ใช้ โดยผู้ใช้สามารถระบุความต้องการไปยังซอฟต์แวร์ของระบบCloud Computing จากนั้นซอฟต์แวร์จะร้องขอให้ระบบจัดสรรทรัพยากรและบริการให้ตรงกับความต้องการผู้ใช้ ทั้งนี้ระบบสามารถเพิ่มและลดจำนวนของทรัพยากร รวมถึงเสนอบริการให้พอเหมาะกับความต้องการของผู้ใช้ได้ตลอดเวลา โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทราบเลยว่าการทำงานหรือเหตุการณ์เบื้องหลังเป็นเช่นไร (จากหน้าเว็บ http://javaboom.wordpress.com/2008/07/23/whatiscloudcomputing/ เมื่อวันที่ 11 ต.ค.53)
ในขณะที่คุณ JuaCompe's ให้ความหมายไว้ว่า cloud computing คือการขาย computation power โดย customers จะจ่ายเท่ากับจำนวนหน่วยที่ใช้ มองคล้ายๆ web hosting แต่แทนที่เราจะให้บริการ hosting website, เรา hosting database server หรือ application server สิ่งที่ลูกค้าต้องมีจะเหลือแค่"แก่น"จริงๆของ IT system นั่นคือ business logic ที่ถูกห่อด้วย portable module อะไรซักอย่าง (เช่น EJB) ยุคต่อไปนี้จะมีคน run application server ไว้ให้ เราสามารถเอา EJB ไป deploy ได้ แล้วจ่ายตังค์เท่าที่เราใช้ computation power ของ server นั้นๆ (เช่นจ่ายตามจำนวน request ที่เข้ามา เป็นต้น) (จากหน้าเว็บ http://www.narisa.com/forums/index.php?app=blog&module=display§ion=blog&blogid=15&showentry=1850 เมื่อวันที่ 11 ต.ค.53)
ส่วนเว็บ CompPot.net ได้กล่าวเสริมว่า การที่มีบางท่านให้คำนิยาม Cloud Computing ว่า “การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ” นั้น ผู้เขียนเข้าใจว่าอาจเป็นเพราะ Cloud Computing เป็นการทำงานโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่มากมายบนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ซึ่งเราเพียงแต่เชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยไม่ต้องสนใจว่าทรัพยากรที่ใช้อยู่นั้นมาจากต่างที่ต่างระบบเครือข่าย ทั้งที่อยู่ใกล้ ๆ หรือไกลออกไป เป็นการใช้ทรัพยากรภายในเครือข่ายขนาดใหญ่ จึงใช้สัญลักษณ์รูปก้อนเมฆแทนที่ตั้งของทรัพยากรคอมพิวเตอร์ทั้งหมดที่มีไว้ ให้บริการโดยผู้ให้บริการบุคคลที่สามแทน
ซึ่ง ผู้ที่เกี่ยวข้องกับ Cloud Computing มีสองส่วนคือ
•Cloud Provider หมายถึงผู้ให้บริการระบบ Cloud นั่นเอง
•Cloud Storage คือสถานที่เก็บทรัพยากรสำหรับระบบ Cloud
(จากหน้าเว็บ http://www.compspot.net/index.php?option=com_content&task=view&id=360&Itemid=46 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2553)
ส่วนที่เว็บ http://www.bkk.in.th/ ได้บอกถึงผู้เกี่ยวข้องกับ Cloud Computing เพิ่มเติมว่า
มีความหมายของคำหลักๆ 3 คำที่เกี่ยวข้องกับ Cloud Computing ต่อไปนี้
- ความต้องการ (Requirement) คือโจทย์ปัญหาที่ผู้ใช้ต้องการให้ระบบคอมพิวเตอร์แก้ไขปัญหาหรือตอบปัญหาตาม ที่ผู้ใช้กำหนดได้ ยกตัวอย่างเช่น ความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลขนาด 1,000,000 GB, ความต้องการประมวลผลโปรแกรมแบบขนานเพื่อค้นหายารักษาโรคไข้หวัดนกให้ได้สูตร ยาภายใน 90 วัน, ความต้องการโปรแกรมและพลังการประมวลผลสำหรับสร้างภาพยนต์แอนนิเมชันความยาว 2 ชั่วโมงให้แล้วเสร็จภายใน 4 เดือน, และความต้องการค้นหาข้อมูลท่องเที่ยวและโปรแกรมทัวร์ในประเทศอิตาลีในราคา ที่ถูกที่สุดในโลกแต่ปลอดภัยในการเดินทางด้วย เป็นต้น
- ทรัพยากร (Resource) หมายถึง ปัจจัยหรือสรรพสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลหรือเกี่ยวข้องกับการแก้ไข ปัญหาตามโจทย์ที่ความต้องการของผู้ใช้ได้ระบุไว้ อาทิเช่น CPU, Memory (เช่น RAM), Storage (เช่น harddisk), Database, Information, Data, Network, Application Software, Remote Sensor เป็นต้น
- บริการ (Service) ถือว่าเป็นทรัพยากร และในทางกลับกันก็สามารถบอกได้ว่าทรัพยากรก็คือบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านCloud Computingแล้ว เราจะใช้คำว่าบริการแทนคำว่าทรัพยากร คำว่าบริการหมายถึงการกระทำ (operation) เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่สนองต่อความต้องการ (requirement) แต่การกระทำของบริการจะเกิดขึ้นได้จำเป็นต้องพึ่งพาทรัพยากร โดยการใช้ทรัพยากรที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหาให้เกิดผลลัพธ์สนองต่อความต้องการ
และยังบอกอีกว่า สำหรับCloud Computingแล้ว ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องสนใจเลยว่าระบบเบื้องล่างทำงานอย่างไร ประกอบไปด้วยทรัพยากร(resource) อะไรบ้าง ผู้ใช้แค่ระบุความต้องการ(requirement) จากนั้นบริการ(service)ก็เพียงให้ผลลัพธ์แก่ผู้ใช้ ส่วนบริการจะไปจัดการกับทรัพยากรอย่างไรนั้นผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องสนใจ สรุปได้ว่า ผู้ใช้มองเห็นเพียงบริการซึ่งทำหน้าที่เสมือนซอฟต์แวร์ที่ทำงานตามโจทย์ของ ผู้ใช้ โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรับทราบถึงทรัพยากรที่แท้จริงว่ามีอะไรบ้างและถูก จัดการเช่นไร หรือไม่จำเป็นต้องทราบว่าทรัพยากรเหล่านั้นอยู่ที่ไหน (จากหน้าเว็บ http://www.bkk.in.th/Topic.aspx?TopicID=983 เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2553)
ทั้งนี้ ที่เว็บ CompPot.Net ได้บอกถึงความแตกต่างระหว่าง Cloud Computing กับ Hosting ประเภทต่างๆ ว่า
ความแตกต่างระหว่าง Cloud Computing กับ Hosting ประเภทต่างๆ เช่น Application Hosting หรือพื้นที่ให้บริการโปรแกรมประยุกต์, Web Hosting หรือพื้นที่ให้บริการเว็บไซต์, File Hosting หรือพื้นที่ให้บริการจัดเก็บไฟล์ข้อมูลนั้น อยู่ตรงที่ Cloud Storage มี อิสระในการปรับขีดความสามารถ สมรรถนะ และขนาดทรัพยากรได้ตามภาระงาน เนื่องจากไม่มีข้อจำกัดในการขยายทรัพยากรสำหรับผู้ให้บริการ เพราะมีความร่วมมือกับผู้ให้บริการบุคคลที่สามที่เป็นผู้จัดหาและจัดสรร ทรัพยากรอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าจำนวนโปรแกรมจะใช้ทรัพยากรในการประมวลผลมากขึ้นเท่าไร หรือต้องใช้พื้นที่ในการเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่ ผู้ใช้บริการ และผู้ให้บริการ Cloud ไม่จำเป็นต้องกังวลในข้อจำกัดนี้ อย่างไรก็ตามเรื่องค่าใช้จ่ายนั้นจะขึ้นกับการจ่ายตามที่ใช้จริง (pay-per-use) และอาจมีเรื่องอื่นๆ อีกขึ้นอยู่กับข้อตกลงของแต่ละเจ้าที่ให้บริการ โดยปัจจุบันมีผู้ให้บริการอยู่มากมาย เช่น Google Apps, Google App Engine, IBM Blue Cloud, Amazon EC2 เป็นต้น
ผมคิดว่าทุกท่านคงพอมองเห็นภาพของ Cloud Computing กันแล้วนะครับ บทความต่อไปเราจะมาดูกันว่า Clod Computing จะส่งผลอย่างไรบ้างกับงาน HR ครั้งหน้าครับ
เกริ่นนำ
ผมคิดว่าทุกคนคงมีประสบการณ์ในการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เหมือนๆ กับตัวผม คือมีคนบอกว่า "ทันทีที่เราซื้อเครื่องออกจากร้านมันก็ล้าสมัยทันที" เพราะเทคโนโลยีด้าน IT มีการพัฒนาไปเร็วมากและมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทุกท่านคงเบื่อหน่ายกับการที่ฮาร์ดแวร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่เผลอแผลบเดียวมันก็เก่าซะแล้ว อย่าง CPU Speed ที่สุดยอดๆ เคยซื้อเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา 2.1 GHz ซื้อออกจากร้านประมาณ 2 หมื่นบาทก็หรูสุดๆ แล้ว ผ่านไปแต่ปีสองปีมันก็กลายเป็นเครื่องที่ดูจะล้าหลังไปหน่อยซะแล้ว ไหนจะฮาร์ดดิสก์อีกตอนซื้อกะว่าใช้ 500 GB เหลือๆ แต่พอใช้จริง ปีที่สองก็ชักจะใกล้เต็มแล้ว ส่วนทางด้านซอฟท์แวร์เองก็มีปัญหามากพอกันตั้งแต่ Version ของระบบปฏิบัติการอย่าง Windows ที่พัฒนาตัวใหม่ๆ ออกมาได้ทุกปี แถวค่า License ก็แพงพอๆ กับที่จะซื้อเครื่องใหม่ได้เลย แล้วถ้าใครอยากจะซื้อซอฟท์แวร์ตัวใหม่ๆ มาใช้ชั่วคราวแบบเฉพาะกิจ เช่น คนที่เรียน ป.โท อยากใช้ SPSS หรือ MATLAB ก็จะต้องไปเดินหาซื้อแผ่น แล้วก็ต้องมาดูว่าจะต้องใช้พื้นที่ Hard Disk ขนาดไหนถึงจะพอ แถมต้องดูด้วยว่า Spec เครื่องเราจะรองรับไหม
ด้วยปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ จึงมีคนคิดขึ้นมาว่าถ้าหากเราขายระบบอะไรสักอย่างที่ขอให้คนที่จะเข้ามาใช้มีเครื่องหรืออุปกรณ์ที่ Login หรือเชื่อมต่อกับ Internet ได้โดยไม่จำเป็นต้องมี Spec เครื่องหรูๆ ขอแค่ให้มี Internet Explorer แล้ว login เข้าระบบแล้วไปเลือกได้ว่า วันนี้ฉันอยากใช้เครื่องช่วยคำนวณข้อมูลรายได้พนักงานที่มีอยู่ 2,500 คนแบบย้อนหลัง 10 ปี อยากขอให้ระบบจัดการข้อมูลให้ด้วย เมื่อขอระบบเสร็จระบบก็จะไปค้นหาดูว่าไอ้เครื่องที่มีอยู่ในเครือข่ายของระบบที่ให้บริการอยู่มีกี่เครื่องที่ว่างๆ อยู่ จากนั้นมันก็จะกระจายการคำนวณข้อมูลออกไปให้เครื่องต่างๆ ในเครือข่าย ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ว่าอยู่ไหนบ้างในโลก จากนั้นพอคำนวณเสร็จก็จะส่งผลลัพธ์กลับมาให้ ส่วนใครที่อยากใช้โปรแกรม Office ต่างๆ ก็ไปคลิกเลือกเลยว่าจะขอใช้บริการโปรแกรมอะไรบ้าง โดยที่ไม่ต้องลงโปรแกรมที่เครื่องเราเลย การทำงานทั้งหมดทำบนบราวเซอร์ทั้งนั้น เพราะฉะนั้นเราก็จะตัดปัญหาเรื่องของ Spec เครื่องหรือซอฟท์แวร์ไปได้
สิ่งที่ผมอธิบายมาข้างต้นนั่นละครับคือภาพของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในโลกการทำงานที่เรียกว่า Cloud Computing
Cloud Comuting คืออะไร
มีคนให้ความหมายของ Cloud Computing ไว้หลากหลายครับ เช่น
เริ่มจากที่ Wikipedia ซึ่งมักจะมีคนอ้างอิงถึง บอกว่า “Cloud Computing อ้างถึงทรัพยากรสำหรับการคำนวณผลที่ถูกเข้าถึง ซึ่งโดยทั่วไปถูกเป็นเจ้าของและถูกดำเนินการโดยผู้ให้บริการบุคคลที่ 3 (third-party provider) ซึ่งได้รวบรวมพื้นฐานที่จำเป็นทั่วไปเข้าไว้ด้วยกันในตำแหน่งที่ตั้งของศูนย์คอมพิวเตอร์ (Data Center) โดยผู้บริโภคบริการ cloud computing เสียค่าใช้จ่ายเพื่อความสามารถการคำนวณหรือการประมวลผลตามที่ต้องการ และไม่จำเป็นต้องรู้หรือเข้าใจในเทคโนโลยีที่สำคัญซึ่งซ่อนอยู่ อันที่ถูกใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องแม่ข่าย (server) อย่างไรก็ตามมีตัวเลือกสำหรับผู้พัฒนาที่ต้องรู้และต้องคำนึงถึงในเทคโนโลยีสำคัญซึ่งซ่อนอยู่ในส่วนของการบริการแพล็ตฟอร์ม (platform services)”
คุณ JavaBoom บอกว่า Cloud Computing คือวิธีการประมวลผลที่อิงกับความต้องการของผู้ใช้ โดยผู้ใช้สามารถระบุความต้องการไปยังซอฟต์แวร์ของระบบCloud Computing จากนั้นซอฟต์แวร์จะร้องขอให้ระบบจัดสรรทรัพยากรและบริการให้ตรงกับความต้องการผู้ใช้ ทั้งนี้ระบบสามารถเพิ่มและลดจำนวนของทรัพยากร รวมถึงเสนอบริการให้พอเหมาะกับความต้องการของผู้ใช้ได้ตลอดเวลา โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องทราบเลยว่าการทำงานหรือเหตุการณ์เบื้องหลังเป็นเช่นไร (จากหน้าเว็บ http://javaboom.wordpress.com/2008/07/23/whatiscloudcomputing/ เมื่อวันที่ 11 ต.ค.53)
ในขณะที่คุณ JuaCompe's ให้ความหมายไว้ว่า cloud computing คือการขาย computation power โดย customers จะจ่ายเท่ากับจำนวนหน่วยที่ใช้ มองคล้ายๆ web hosting แต่แทนที่เราจะให้บริการ hosting website, เรา hosting database server หรือ application server สิ่งที่ลูกค้าต้องมีจะเหลือแค่"แก่น"จริงๆของ IT system นั่นคือ business logic ที่ถูกห่อด้วย portable module อะไรซักอย่าง (เช่น EJB) ยุคต่อไปนี้จะมีคน run application server ไว้ให้ เราสามารถเอา EJB ไป deploy ได้ แล้วจ่ายตังค์เท่าที่เราใช้ computation power ของ server นั้นๆ (เช่นจ่ายตามจำนวน request ที่เข้ามา เป็นต้น) (จากหน้าเว็บ http://www.narisa.com/forums/index.php?app=blog&module=display§ion=blog&blogid=15&showentry=1850 เมื่อวันที่ 11 ต.ค.53)
ส่วนเว็บ CompPot.net ได้กล่าวเสริมว่า การที่มีบางท่านให้คำนิยาม Cloud Computing ว่า “การประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ” นั้น ผู้เขียนเข้าใจว่าอาจเป็นเพราะ Cloud Computing เป็นการทำงานโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่มากมายบนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ซึ่งเราเพียงแต่เชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต โดยไม่ต้องสนใจว่าทรัพยากรที่ใช้อยู่นั้นมาจากต่างที่ต่างระบบเครือข่าย ทั้งที่อยู่ใกล้ ๆ หรือไกลออกไป เป็นการใช้ทรัพยากรภายในเครือข่ายขนาดใหญ่ จึงใช้สัญลักษณ์รูปก้อนเมฆแทนที่ตั้งของทรัพยากรคอมพิวเตอร์ทั้งหมดที่มีไว้ ให้บริการโดยผู้ให้บริการบุคคลที่สามแทน
ซึ่ง ผู้ที่เกี่ยวข้องกับ Cloud Computing มีสองส่วนคือ
•Cloud Provider หมายถึงผู้ให้บริการระบบ Cloud นั่นเอง
•Cloud Storage คือสถานที่เก็บทรัพยากรสำหรับระบบ Cloud
(จากหน้าเว็บ http://www.compspot.net/index.php?option=com_content&task=view&id=360&Itemid=46 เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2553)
ส่วนที่เว็บ http://www.bkk.in.th/ ได้บอกถึงผู้เกี่ยวข้องกับ Cloud Computing เพิ่มเติมว่า
มีความหมายของคำหลักๆ 3 คำที่เกี่ยวข้องกับ Cloud Computing ต่อไปนี้
- ความต้องการ (Requirement) คือโจทย์ปัญหาที่ผู้ใช้ต้องการให้ระบบคอมพิวเตอร์แก้ไขปัญหาหรือตอบปัญหาตาม ที่ผู้ใช้กำหนดได้ ยกตัวอย่างเช่น ความต้องการพื้นที่จัดเก็บข้อมูลขนาด 1,000,000 GB, ความต้องการประมวลผลโปรแกรมแบบขนานเพื่อค้นหายารักษาโรคไข้หวัดนกให้ได้สูตร ยาภายใน 90 วัน, ความต้องการโปรแกรมและพลังการประมวลผลสำหรับสร้างภาพยนต์แอนนิเมชันความยาว 2 ชั่วโมงให้แล้วเสร็จภายใน 4 เดือน, และความต้องการค้นหาข้อมูลท่องเที่ยวและโปรแกรมทัวร์ในประเทศอิตาลีในราคา ที่ถูกที่สุดในโลกแต่ปลอดภัยในการเดินทางด้วย เป็นต้น
- ทรัพยากร (Resource) หมายถึง ปัจจัยหรือสรรพสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลหรือเกี่ยวข้องกับการแก้ไข ปัญหาตามโจทย์ที่ความต้องการของผู้ใช้ได้ระบุไว้ อาทิเช่น CPU, Memory (เช่น RAM), Storage (เช่น harddisk), Database, Information, Data, Network, Application Software, Remote Sensor เป็นต้น
- บริการ (Service) ถือว่าเป็นทรัพยากร และในทางกลับกันก็สามารถบอกได้ว่าทรัพยากรก็คือบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านCloud Computingแล้ว เราจะใช้คำว่าบริการแทนคำว่าทรัพยากร คำว่าบริการหมายถึงการกระทำ (operation) เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่สนองต่อความต้องการ (requirement) แต่การกระทำของบริการจะเกิดขึ้นได้จำเป็นต้องพึ่งพาทรัพยากร โดยการใช้ทรัพยากรที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหาให้เกิดผลลัพธ์สนองต่อความต้องการ
และยังบอกอีกว่า สำหรับCloud Computingแล้ว ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องสนใจเลยว่าระบบเบื้องล่างทำงานอย่างไร ประกอบไปด้วยทรัพยากร(resource) อะไรบ้าง ผู้ใช้แค่ระบุความต้องการ(requirement) จากนั้นบริการ(service)ก็เพียงให้ผลลัพธ์แก่ผู้ใช้ ส่วนบริการจะไปจัดการกับทรัพยากรอย่างไรนั้นผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องสนใจ สรุปได้ว่า ผู้ใช้มองเห็นเพียงบริการซึ่งทำหน้าที่เสมือนซอฟต์แวร์ที่ทำงานตามโจทย์ของ ผู้ใช้ โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องรับทราบถึงทรัพยากรที่แท้จริงว่ามีอะไรบ้างและถูก จัดการเช่นไร หรือไม่จำเป็นต้องทราบว่าทรัพยากรเหล่านั้นอยู่ที่ไหน (จากหน้าเว็บ http://www.bkk.in.th/Topic.aspx?TopicID=983 เมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2553)
ทั้งนี้ ที่เว็บ CompPot.Net ได้บอกถึงความแตกต่างระหว่าง Cloud Computing กับ Hosting ประเภทต่างๆ ว่า
ความแตกต่างระหว่าง Cloud Computing กับ Hosting ประเภทต่างๆ เช่น Application Hosting หรือพื้นที่ให้บริการโปรแกรมประยุกต์, Web Hosting หรือพื้นที่ให้บริการเว็บไซต์, File Hosting หรือพื้นที่ให้บริการจัดเก็บไฟล์ข้อมูลนั้น อยู่ตรงที่ Cloud Storage มี อิสระในการปรับขีดความสามารถ สมรรถนะ และขนาดทรัพยากรได้ตามภาระงาน เนื่องจากไม่มีข้อจำกัดในการขยายทรัพยากรสำหรับผู้ให้บริการ เพราะมีความร่วมมือกับผู้ให้บริการบุคคลที่สามที่เป็นผู้จัดหาและจัดสรร ทรัพยากรอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าจำนวนโปรแกรมจะใช้ทรัพยากรในการประมวลผลมากขึ้นเท่าไร หรือต้องใช้พื้นที่ในการเก็บข้อมูลเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่ ผู้ใช้บริการ และผู้ให้บริการ Cloud ไม่จำเป็นต้องกังวลในข้อจำกัดนี้ อย่างไรก็ตามเรื่องค่าใช้จ่ายนั้นจะขึ้นกับการจ่ายตามที่ใช้จริง (pay-per-use) และอาจมีเรื่องอื่นๆ อีกขึ้นอยู่กับข้อตกลงของแต่ละเจ้าที่ให้บริการ โดยปัจจุบันมีผู้ให้บริการอยู่มากมาย เช่น Google Apps, Google App Engine, IBM Blue Cloud, Amazon EC2 เป็นต้น
ผมคิดว่าทุกท่านคงพอมองเห็นภาพของ Cloud Computing กันแล้วนะครับ บทความต่อไปเราจะมาดูกันว่า Clod Computing จะส่งผลอย่างไรบ้างกับงาน HR ครั้งหน้าครับ
ป้ายกำกับ:
Cloud Computing,
Cloud Computing กับงาน HR,
HR
วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553
การแยกคำ MS-Excel
มีคนเขียน Email มาถามสมาชิกในชมรม Excel for HR ซึ่งมีคุณสำเริง ยิ่งถาวรสุขและเพื่อนๆ ผู้เก่งกาจด้าน Excel ทั้งหลายช่วยตอบคำถามกันอยู่ และผมก็เป็นสมาชิกอยู่เช่นเดียวกันว่า
จาก คุณสุรพล
ผมขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับการแยกคำนำหน้าชื่อ เช่น นาย นางสาว นาง ออกไปอยู่อีก Column เพื่อต้องการ Sort รายชื่อให้เรียงลำดับตามตัวอักษร ไม่ทราบมีข้อแนะนำทำอย่างไรครับ ผมลองใช้สูตร =IF(LEFT(C3,6)="นางสาว",LEFT(C3,3)="นาย",LEFT(C3,3)) ทำไม่ได้ครับ
คุณ Pison ตอบไปว่าให้ใช้
=IF(LEFT(C3,6)="นางสาว",LEFT(C3,6),LEFT(C3,3))
ผมก็เลยขอรวบรวมไว้ให้ผู้สนใจว่า
การแยกคำแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกแยกคำนำหน้าใช้
=IF(LEFT(C3,6)="นางสาว",LEFT(C3,6),LEFT(C3,3))
โดยจากตัวอักษรตัวที่ 1-6 ถ้าหาเจอคำว่า "นางสาว" ให้แสดงตัวอักษรตัวที่ 1-6 ซึ่งก็คือคำว่า "นางสาว" นั่นเอง แต่ถ้าไปเจอคำอื่น ให้เอาตัวอักษรตัวที่ 1-3 มาแสดง ซึ่งก็คือคำว่า "นาย" กับ "นาง" นั่นเอง
ส่วนการตัดเอาเฉพาะชื่อไม่รวมคำนำหน้ามา
ผมลองใช้สูตร =IF(LEFT(C3,6)="นางสาว",MID(C3,7,15),MID(C3,4,15))
โดย ให้ไปหาคำว่า "นางสาว" แล้วให้ตัดตัวอักษรตัวที่ 1-6 ทิ้ง (ซึ่งก็คือคำว่า "นางสาว" มี 6 ตัวอักษร) แล้วเอาตัวที่ 7 จากซ้ายมือขึ้นไปจนถึงตัวอักษรที่ 15 มาแสดง (ซึ่งเป็นจำนวนตัวอักษรของคำนำหน้ารวมกับชื่อที่มากที่สุด แต่ตัวเลขนี้อาจจะเปลี่ยนเป็นจำนวนสูงกว่านี้ก็ได้ครับ เผื่อจะมีคนชื่อยาวกว่า 15 ตัวอักษร) ส่วนที่เหลือให้ตัดเอาตัวอักษรตัวที่ 1-3 ทิ้ง (ซึ่งก็คือคำว่า "นาย" กับ "นาง" มี 3 ตัวอักษรเท่ากัน) แล้วเอาเฉพาะตัวอักษรตัวที่ 4 ถึง 15 มาแสดง ผลลัพธ์น่าจะตรงอย่างที่ต้องการครับ
Enhance IT for HR Practitioner
เสกสิทธิ คูณศรี
จาก คุณสุรพล
ผมขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับการแยกคำนำหน้าชื่อ เช่น นาย นางสาว นาง ออกไปอยู่อีก Column เพื่อต้องการ Sort รายชื่อให้เรียงลำดับตามตัวอักษร ไม่ทราบมีข้อแนะนำทำอย่างไรครับ ผมลองใช้สูตร =IF(LEFT(C3,6)="นางสาว",LEFT(C3,3)="นาย",LEFT(C3,3)) ทำไม่ได้ครับ
คุณ Pison ตอบไปว่าให้ใช้
=IF(LEFT(C3,6)="นางสาว",LEFT(C3,6),LEFT(C3,3))
ผมก็เลยขอรวบรวมไว้ให้ผู้สนใจว่า
การแยกคำแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกแยกคำนำหน้าใช้
=IF(LEFT(C3,6)="นางสาว",LEFT(C3,6),LEFT(C3,3))
โดยจากตัวอักษรตัวที่ 1-6 ถ้าหาเจอคำว่า "นางสาว" ให้แสดงตัวอักษรตัวที่ 1-6 ซึ่งก็คือคำว่า "นางสาว" นั่นเอง แต่ถ้าไปเจอคำอื่น ให้เอาตัวอักษรตัวที่ 1-3 มาแสดง ซึ่งก็คือคำว่า "นาย" กับ "นาง" นั่นเอง
ส่วนการตัดเอาเฉพาะชื่อไม่รวมคำนำหน้ามา
ผมลองใช้สูตร =IF(LEFT(C3,6)="นางสาว",MID(C3,7,15),MID(C3,4,15))
โดย ให้ไปหาคำว่า "นางสาว" แล้วให้ตัดตัวอักษรตัวที่ 1-6 ทิ้ง (ซึ่งก็คือคำว่า "นางสาว" มี 6 ตัวอักษร) แล้วเอาตัวที่ 7 จากซ้ายมือขึ้นไปจนถึงตัวอักษรที่ 15 มาแสดง (ซึ่งเป็นจำนวนตัวอักษรของคำนำหน้ารวมกับชื่อที่มากที่สุด แต่ตัวเลขนี้อาจจะเปลี่ยนเป็นจำนวนสูงกว่านี้ก็ได้ครับ เผื่อจะมีคนชื่อยาวกว่า 15 ตัวอักษร) ส่วนที่เหลือให้ตัดเอาตัวอักษรตัวที่ 1-3 ทิ้ง (ซึ่งก็คือคำว่า "นาย" กับ "นาง" มี 3 ตัวอักษรเท่ากัน) แล้วเอาเฉพาะตัวอักษรตัวที่ 4 ถึง 15 มาแสดง ผลลัพธ์น่าจะตรงอย่างที่ต้องการครับ
Enhance IT for HR Practitioner
เสกสิทธิ คูณศรี
วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
MS-Excel: การสร้างฐานข้อมูลการประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีแบบง่าย - Force Ranking Chart (7) - ตอนจบ
ท้ายที่สุดเราก็จะได้กราฟเส้นโค้งรูประฆังคว่ำ เอาไว้ให้ผุ้บริหารฝ่ายต่างๆ ได้นำไปดูเปรียบเทียบระหว่างจำนวนพนักงานที่ได้ผลการประเมินแต่ละระดับคะแนนตามนโยบายของบริษัทกับจำนวนที่ได้รับการปรับจริง ซึ่งจะช่วยลดปัญหา Over Budget ได้อีกทางหนึ่ง
MS-Excel: การสร้างฐานข้อมูลการประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีแบบง่าย - Force Ranking Chart (6)
เมื่อเข้าสู่ฟังก์ชั่น Format Data Series แล้ว ให้ไปคลิกที่ Line Style แล้วคลิกที่ช่อง Smoothed Line แล้วทำวิธีการเดียวกันกับกราฟอีก 1 เส้นที่เหลือ
MS-Excel: การสร้างฐานข้อมูลการประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีแบบง่าย - Force Ranking Chart (5)
แต่ถ้าเป็น MS-Office 2007 ให้คลิกครอบพื้นที่ B2:D6 จากนั้นให้คลิกที่เมนู Insert แล้วเลือกปุ่มกราฟแบบ Lines พอได้ภาพกราฟมาให้ไปคลิกที่เส้นกราฟเส้นใดเส้นหนึ่ง แล้วคลิกเม้าส์ขวา เลื่อนเม้าส์ไปเลือก Format Data Series ดังภาพ
MS-Excel: การสร้างฐานข้อมูลการประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีแบบง่าย - Force Ranking Chart (4)
คลิกปุ่ม Next ไปเรื่อยๆ จนจบ ก็จะได้กราฟรูประฆังคว่ำแบบนี้
พอเอาไปใช้งานจริง เมื่อมีการปรับเกรดคะแนนประเมินผลไปเรื่อยๆ กราฟก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามที่ได้ปรับ ซึ่งจะช่วยให้สามารถ Control Budget ของการประเมินผลของแต่ละฝ่ายได้
MS-Excel: การสร้างฐานข้อมูลการประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีแบบง่าย - Force Ranking Chart (3)
เมื่อได้ตารางสรุปผลการประเมินประจำปีแล้วเราก็มาสร้างกราฟที่แสดง Force Ranking ตามระดับผลการประเมิน โดยได้แบ่งออกเป็น 2 วิธีตามเวอร์ชั่นของ Microsoft Office คือ MS-Office 2003 กับ MS-Office 2007
เริ่มจากเวอร์ชั่น 2003 ก่อน ให้คลิกเม้าส์ครอบพื้นที่ B2 ถึง D6 จากนั้นให้ไปคลิกปุ่มสร้างกราฟในแถบเครื่องมือ แล้วก็ไปคลิกแถบกราฟแบบ Custom Types เลือกกราฟเป็นแบบ Smooth Lines
MS-Excel: การสร้างฐานข้อมูลการประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีแบบง่าย - Force Ranking Chart (2)
ตามตัวอย่างต่อไปนี้สมมติให้พนักงานในฝ่ายนี้มีรายชื่อตั้งแต่แถวที่ 9 ถึง 105 i;,
ขอเริ่มจากตัวอย่างการประเมินผลการปฏิบัติงานที่ได้ระดับคะแนนแบ่งออกเป็น 4 ระดับคือ A, B, C และ D ในที่นี้กำหนดให้ A คือระดับผลการประเมินที่ดีที่สุด แล้วลดหลั่นกันลงมาจนถึง D คือผลการประเมินที่ต่ำกว่ามาตรฐาน จากนั้นเราก็สร้างตารางเพื่อแสดงผลและสร้างกราฟควบคุมขึ้นมา ตามตัวอย่างในเซล A2:D6 โดยในเซล C3 ถึง C6 คือจำนวนพนักงานที่จะได้รับผลการประเมินตามนโยบายการจ่ายตามระดับผลการประเมินที่มีผลคะแนน A-D ในคอลัมน์ A3 ถึง A6 และเมื่อผู้ประเมินให้คะแนนกับพนักงานจำนวนพนักงานที่ได้ผลการประเมินจริงจะถูกนับมาแสดงในคอลัมน์ D2 ถึง D6
การที่นำฟังก์ชั่น ROUND มาใช้ในเซล C3 ถึง C6 เนื่องจากบางครั้งจำนวนพนักงานที่ถูกนับตามเปอร์เซนต์ของนโยบายการจ่ายจะหารออกมาเป็นเศษส่วนซึ่งจำนวนคนควรเป็นจำนวนเต็มก็เลยเอาฟังก์ชั่นนี้มาช่วย ส่วนฟังก์ชั่น COUNT คือให้ไปนับจำนวนพนักงานทั้งหมดจากรหัสพนักงาน ซึ่งในที่นี้กำหนดให้รายชื่อพนักงานอยู่ในเซล A9 ถึง A105 เมื่อได้จำนวนพนักงานทั้งหมดมาแล้วก็นำไปคูณกับนโยบายการจ่าย (%) ในเซล A3 ถึง A6 ก็จะได้จำนวนพนักงานตามระดับประเมินผลออกมา
จากนั้นในเซล D3 ถึง D6 เราใช้ฟังก์ชั่น COUNTIF ให้ไปทำการนับจำนวนพนักงานที่ได้ผลการประเมินเท่ากับระดับคะแนนประเมินผลในเซล B3 ถึง B6 ซึ่งก็คือเกรด A-D นั่นเอง โดยให้ไปนับจำนวนพนักงานที่ได้ผลการประเมินแต่ละระดับจากผลการประเมินในเซล B9 ถึง B105 รวม 97 คน แต่จำนวนรวมในเซล C3 ถึง C6 มี 98 คนเนื่องจากเป็นจำนวนที่ถูกปัดเศษเพิ่มขึ้นมา 1 คน
ขอเริ่มจากตัวอย่างการประเมินผลการปฏิบัติงานที่ได้ระดับคะแนนแบ่งออกเป็น 4 ระดับคือ A, B, C และ D ในที่นี้กำหนดให้ A คือระดับผลการประเมินที่ดีที่สุด แล้วลดหลั่นกันลงมาจนถึง D คือผลการประเมินที่ต่ำกว่ามาตรฐาน จากนั้นเราก็สร้างตารางเพื่อแสดงผลและสร้างกราฟควบคุมขึ้นมา ตามตัวอย่างในเซล A2:D6 โดยในเซล C3 ถึง C6 คือจำนวนพนักงานที่จะได้รับผลการประเมินตามนโยบายการจ่ายตามระดับผลการประเมินที่มีผลคะแนน A-D ในคอลัมน์ A3 ถึง A6 และเมื่อผู้ประเมินให้คะแนนกับพนักงานจำนวนพนักงานที่ได้ผลการประเมินจริงจะถูกนับมาแสดงในคอลัมน์ D2 ถึง D6
การที่นำฟังก์ชั่น ROUND มาใช้ในเซล C3 ถึง C6 เนื่องจากบางครั้งจำนวนพนักงานที่ถูกนับตามเปอร์เซนต์ของนโยบายการจ่ายจะหารออกมาเป็นเศษส่วนซึ่งจำนวนคนควรเป็นจำนวนเต็มก็เลยเอาฟังก์ชั่นนี้มาช่วย ส่วนฟังก์ชั่น COUNT คือให้ไปนับจำนวนพนักงานทั้งหมดจากรหัสพนักงาน ซึ่งในที่นี้กำหนดให้รายชื่อพนักงานอยู่ในเซล A9 ถึง A105 เมื่อได้จำนวนพนักงานทั้งหมดมาแล้วก็นำไปคูณกับนโยบายการจ่าย (%) ในเซล A3 ถึง A6 ก็จะได้จำนวนพนักงานตามระดับประเมินผลออกมา
จากนั้นในเซล D3 ถึง D6 เราใช้ฟังก์ชั่น COUNTIF ให้ไปทำการนับจำนวนพนักงานที่ได้ผลการประเมินเท่ากับระดับคะแนนประเมินผลในเซล B3 ถึง B6 ซึ่งก็คือเกรด A-D นั่นเอง โดยให้ไปนับจำนวนพนักงานที่ได้ผลการประเมินแต่ละระดับจากผลการประเมินในเซล B9 ถึง B105 รวม 97 คน แต่จำนวนรวมในเซล C3 ถึง C6 มี 98 คนเนื่องจากเป็นจำนวนที่ถูกปัดเศษเพิ่มขึ้นมา 1 คน
MS-Excel: การสร้างฐานข้อมูลการประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปีแบบง่าย - Force Ranking Chart (1)
มีส่วนต่อจากคราวก่อนโน้นเรื่องการสร้างฐานข้อมูลการประเมินผลประจำปีแบบง่าย ในกรณีที่เราต้องการนำเอาการควบคุมเกณฑ์การจ่ายโบนัสและเพิ่มเงินให้พนักงานที่มีผลการประเมินแต่ละระดับเป็นแบบกราฟรูประฆังคว่ำ (Bell Curve) ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะกำหนดระดับผลการประเมินให้พนักงานที่มีผลการปฏิบัติงานดีมีจำนวนน้อยกว่าพนักงานที่มีผลการปฏิบัติงานอยู่ในระดับกลางๆ และพนักงานที่มีผลการปฏิบัติงานต่ำกว่ามาตรฐานก็มีอยู่จำนวนหนึ่ง นั่นก็คือการนำเอาหลักการแบบ Force Ranking มาใช้นั่นเอง
ในกรณีเช่นนี้เราสามารถใช้ MS-Excel มาช่วยแสดงเส้นแนวนโยบาย (Guideline) ให้กับผู้ประเมินแต่ละฝ่ายได้ โดยการสร้างกราฟแบบเส้นโค้งมาช่วย ซึ่งจะทำให้ผู้ประเมินสามารถมองเห็นภาพและควบคุมการประเมินให้อยู่ในเกณฑ์เส้นแนวนโยบายที่ผู้บริหารระดับสูงกำหนดมาให้ได้
มาลองทำ Force Ranking Chart กันดูครับ
ในกรณีเช่นนี้เราสามารถใช้ MS-Excel มาช่วยแสดงเส้นแนวนโยบาย (Guideline) ให้กับผู้ประเมินแต่ละฝ่ายได้ โดยการสร้างกราฟแบบเส้นโค้งมาช่วย ซึ่งจะทำให้ผู้ประเมินสามารถมองเห็นภาพและควบคุมการประเมินให้อยู่ในเกณฑ์เส้นแนวนโยบายที่ผู้บริหารระดับสูงกำหนดมาให้ได้
มาลองทำ Force Ranking Chart กันดูครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)